แบกเป้ เที่ยวภูชี้ฟ้า
ทริปต้นฤดูหนาวปีนี้เราเลือกที่จะเที่ยว “ภูชี้ฟ้า” และเลือกการเดินทางแบบใช้บริการของรถตู้ประจำทาง จุดเริ่มต้นของการเดินทาง เริ่ม ณ สถานทีขนส่งเก่า (ในเมือง) ซึ่งปัจจุบันมีการรื้ออาคารเดิมออกและมีการก่อสร้างใหม่ กำหนดแล้วเสร็จอีกประมาณ 2 ปี แต่จุดขึ้นรถโดยสารต่างๆ ก็จะอยู่โดยรอบของพื้นที่ที่กำลังก่อสร้าง ช่วงนี้อาจจะค่อนข้างทุกลักทุเล อาจจะไม่สะดวกสบายซักเท่าไหร่ ต้องคอยสังเกตุและสอบถามเจ้าหน้าที่ ถึงจุดขายตั๋ว และจุดจอดรถ วกกลับมาเรื่องการเริ่มเตินทางขึ้นภูชี้ฟ้าโดยรถตู้โดยสาร จุดซื้อตั๋วจะอยู่ตรงหน้าร้านขายยา มีป้ายติดด้านหน้าไว้ชัดเจน รถตู้ที่บริการขึ้นภูชี้ฟ้าจะเปิดบริการเฉพาะฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งก็เริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน จนถึงประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเดือนที่รถวิ่งเต็มเดือน ก็จะเป็นพฤศจิกายนและธันวาคมที่มีวิ่งทุกวัน ส่วนเดือนมกราคม จนถึงกุมภาพันธ์หากจะเดินทางต้องโทรเช็ครถก่อนทุกครั้ง รถมีบริการ 1 เที่ยว คือ 13.00 น. ไปถึงภูชี้ฟ้าประมาณ 16.00 น. ส่วนเที่ยวกลับจากภูชี้ฟ้า จะเป็นเวลา 09.00 น. ถึงสถานีขนส่งประมาณ 11.00 น. หากเป็นช่วงนักท่องเที่ยวมาเยอะ อาจจะมีการเพิ่มเที่ยวรถอีก 1 เที่ยว ยังไงหากใครจะเดินทางโดยรถตู้นี้ก็โทรเช็คล่วงหน้าก่อนด้วยทุกครั้งที่เบอร์โทร 084-8043546 คุณวิรัตน์
ช่วงที่ admin เดินทางไป เป็นวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 นอน 1 คืน และกลับลงมาวันที่ 1 ธันวาคม 2558 เราเดินทางไปถึงสถานีขนส่งประมาณ 11.00 น. ไปจองตั๋วไป-กลับ ไว้ก่อนเลย ค่าตั๋ว ไปกลับ 300 บาท (150 บาท/เที่ยว) จองตั๋วได้แล้วก็ไปหาอะไรทานก่อนเดินทาง เมื่อใกล้เวลานัดก็รีบไปรอรถ เผื่อรถมาจะได้เลือกที่นั่งได้ พี่คนขับรถเปิดเพลงเร้าใจมาก เพลงที่เขาเปิดแห่งานบวช แบบครึกครื้นตลอดทางเลย ฮาๆ ก็สนุกไปอีกแบบ รถตู้นั่งได้ทั้งหมด 15 คน ก็เต็มทุกที่นั่ง ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว มีเกาหลี สิงคโปร์ อเมริกา และไทย มีผู้โดยสารลงระหว่างทาง ที่ อ.เทิง 4 คน ก็เหลือ 11 คน ที่เป็นผู้โดยสาร นั่งไปถึงภูชี้ฟ้า ซึ่งก็คือนักท่องเที่ยวทั้งหมด 11 คน
ทางขึ้นภูชี้ฟ้า ชำรุดมาก ถึงมากที่สุด เป็นหลุมเป็นบ่อ นึกในใจดีแล้วที่ไม่ขับรถขึ้นมาเอง เมื่อ 6 ปี ก่อน เคยขับรถขึ้นไปเอง ถนนยังไม่พังเท่านี้เลย ใครที่ไม่ชินทาง หรือไม่เคยขึ้นไปต้องขับรถอย่างระมัดระวังมากๆ เพราะทางชัน และก็ถนนชำรุด ต้องคอยหักหลบหลุมพราง! ต่างๆ พอจะเริ่มขึ้นทางชันๆ พี่คนขับรถตู้จะปิดแอร์ พี่เขาบอกให้ช่วยบอกฝรั่งเขาด้วยว่า เปิดหน้าต่างรถขึ้นดอย พี่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เปิดหน้าต่างรับลมข้างทาง
ระหว่างทางพี่คนขับรถจอดรถให้ถ่ายรูปวิวด้วยแหละ มีความรู้สึกเหมือนไม่ได้นั่งรถตู้ประจำทางเลย เหมือนนั่งรถตู้ที่เราเหมามาเที่ยวมากกว่า ฮาๆ
ไปถึงภูชี้ฟ้า ประมาณ 16.00 น. พี่คนขับสอบถามเราว่า เราพักที่ไหน ก็บอกพี่เขาไปว่า เอาเต้นท์มาจะไปกางเต้นท์ของที่ทหาร ที่เขามีบริการกางเต้นท์ พี่คนขับรถบอกว่า อ๋อ เดี๋ยวจะแวะเข้าไปจอดให้ถึงที่เลย เพราะว่า อยู่ติดกับลานจอดรถของรถตู้นั่นแหละ แต่แวะเข้าไปจอดก่อนจะได้ไม่หอบของเยอะ พี่คนขับใจดีมาก (ประมาณว่าก๊วนเราไป 3 คน ทั้งเป้ เต้นท์ ถุงนอน กระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้อง ของเยอะว่างั้นเหอะ ฮาๆ ) พอไปถึงตรงที่ทหารอยู่ เขาบอกว่า เป็นโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงฯ มีทหารดูแลรับผิดชอบอยู่ และมีจุดบริการกางเต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย มีทั้งเต้นท์ หมอน ผ้าห่ม ให้เช่าด้วย และเสียค่าบำรุงรักษาสถานที 50 บาทต่อ เต้นท์ เรานำเต้นท์ไปเองก็เสียแค่ 50 บาท มีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ มีแสงไฟนีนอนเปิดให้ตลอดทั้งคืน ปลอดภัยดี ทหารก็บริการดีมาก มาช่วยกางเต้นท์ให้ด้วย และก็ช่วยนัดให้รถที่บริการพานักท่องเที่ยวไปส่งยังลานจอดรถทางขึ้นเดินขึ้นภูชี้ฟ้า ให้มารับพวกเราตอน ตี 5 ค่าบริการรถยนต์ คนละ 30 บาทต่อเที่ยว
ไปถึงก็เกือบเย็นละทีแรกจะขึ้นไปบนภูชี้ฟ้าช่วงเย็น แต่ก็เปลี่ยนใจ เดินเล่นที่หมู่บ้านแทน มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายของชำ และร้านอาหาร ที่พักต่างๆ ก็เยอะมากเหมือนกัน แตกต่างจากสมัยก่อนมาก จำได้ว่าเคยมาเมื่อ 23-24 ปี ที่ผ่านมา ตอนนั้นถนนยังเป็นฝุ่น ยังไม่มีอะไรเลย วันเวลาผ่านไป การพัฒนาพื้นที่ก็แปรเปลี่ยนไปตามปริมาณนักท่องเที่ยว
ฟืนมัดละ 50 บาท ไม้เกี๊ยะ มัดละ 10 บาท
อากาศช่วงที่เราไปยังไม่หนาวมาก แค่อากาศเย็นๆ แต่เราก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน ใส่หมวก ใส่เสื้อกันหนาวไว้ พอค่ำๆ อากาศก็เย็นลง เต้นท์ต้องมีผ้ายางกันน้ำค้างด้วย ไม่งั้น ตื่นมาน้ำค้างอาจจะนองเต็มที่นอนได้
นัดรถมารับตอนตี 5 เพื่อขึ้นไปยังจุดเดินขึ้นภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นเขตของวนอุทยาน จุดที่เรากางเต้นท์อยู่ตรงข้ามทางขึ้นวนอุทยานภูชี้ฟ้า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 04.30 น. เตรียมตัวอะไรเรียบร้อย ก็รอรถมารับ อากาศเย็นๆ ท้องฟ้ายังมืดมิด รถพาเราไปจอดตรงลานจอดรถ และเราก็เดินขึ้นไปทางขึ้นภูชี้ฟ้า ระยะทางเดิน 760 เมตร มาเดินช่วงนี้ต้องพกไฟฉายมาด้วยนะ ไม่งั้นไม่เห็นทางจ้า แต่ก็มีคนในพื้นที่เอาของมาวางขายกันแล้ว ช่วงที่เดินขึ้นช่วงแรกเป็นช่วงวัดใจเลยก็ว่าได้ หอบแฮ่กๆ เนินแรก เดินไปหยุดไป สูดหายใจยาวๆ รับอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอด ค่อยเดินไต่ไปตามทางเรื่อยๆ ต้องระมัดระวังเพราะเป็นหิน เป็นพื้นดินลื่นๆ ตลอดทางมีเด็กๆ ในพื้นที่แต่งชุดประจำเผ่า นั่งบ้าง ยืนบ้างร้องเพลงให้ฟังเกือบตลอดทาง แล้วแต่มีจิตเมตตาที่จะให้ทุนการศึกษาเด็กๆ บางคนก็ถ่ายรูป แล้วแต่จะให้ด้วย ก็น่ารักไปอีกแบบ ใจหนึ่งก็สงสารเด็กๆ เหมือนกัน
กว่าจะเดินถึงจุดปลายภูชี้ฟ้า ก็หยุดพัก หยุดหอบแฮ่กๆ ไปหลายเฮือก ฮาๆ พอไปถึงก็หาจุดวางขาตั้งกล้อง ข้อดีของการไปช่วงวันธรรมดา และไม่ใช่ช่วงเทศกาล คือ นักท่องเที่ยวจะน้อง พื้นที่ วิว ต่างๆ จะเป็นของเราเลย ถ่ายรูปไม่ต้องกลัวจะติดหัวใครเข้ากล้อง ฮาๆ ตั้งขาตั้งกล้อง เซ็ตกล้องเรียบร้อย ก็รอเวลาพระอาทิตย์มาสวัสดีตอนเช้า รอ รอ รอ ชมวิว ชมท้องฟ้า ชมดาวไปพลางๆ จนขอบฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม สีทอง และก็โผล่มาให้เห็นแล้ว “สวัสดีเช้าวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2558” รู้สึกดี และมีความสุขมากที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันใหม่ รู้สึกมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ พลังในการต่อสู้ พลังในการเรียนรู้ สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด ชาร์จแบตตัวเองอย่างเต็มร้อย เลยทีเดียว
ภาพช่วงเดินขึ้นไม่ได้ถ่าย เพราะมืดมาก เลยต้องถ่ายขาเดินกลับลงมา ปล่อยภาพเรียงกันลงไปให้ดูกันรวดเดียวเลยนะค่ะ ^-^
นั่งรถตู้กลับเข้าในตัวอำเภอเมืองเที่ยว 09.00 น. ภาพทิ้งท้าย รูป “ภูชี้ฟ้า” ระยะไกล ระหว่างทางหลังจากนั่งรถตู้ลงดอยมาแล้ว กลับถึงสถานีขนส่งในเมืองประมาณ 11.20 น.
มาถึงจุดนี้แล้ว ใครที่ยังไม่เคยมีโอกาสขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ณ ภูชี้ฟ้า ขอเรียนเชิญนะค่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อคุณไปแล้ว คุณเห็น คุณจะรู้สึกว่า ชีวิตที่คุณมี สิ่งที่คุณเห็น มันคือ “กำไรของชีวิต” ของคุณเอง