แบกเป้ เที่ยวดอยหลวงเชียงดาว
ดอยหลวงเชียงดาว เป็นสถานที่ที่อยากไปมานานมาแล้ว คราวนี้พอจะมีเวลาว่างเลยเลือกที่จะไปเที่ยว ไปช่วงฤดูฝนด้วย ลุ้นเรื่องฟ้า เรื่องฝนพอสมควร แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างมาก เพราะวันที่ไป ไม่มีฝนตก ฟ้าใสกิ๊ง แดดเปรี้ยงเลย การเดินทางจากเชียงรายไปครั้งนี้เลือกใช้วิธีการขับรถไปเอง และไปกับกลุ่มเพื่อนๆ เพราะไปกันหลายคน หากไปแบบลุยๆ นั่งรถประจำทางอะไรไป จะทำให้ไม่สะดวกกับการไปทริปหลายๆ คน อีกอย่างเรื่องฟ้า เรื่องฝนไม่ค่อยจะแน่นอนด้วย เลยต้องเอาแบบสะดวกพวกเราว่าง่ายที่สุด เราเองขับรถจากเชียงรายไปโดยใช้เส้นทาง อ.แม่จัน อ.ฝาง อ.แม่อาย อ.ฝาง อ.ไชยปราการ และอ.เชียงดาว ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ไปถึงจุดนัดหมายกับเพื่อนๆ ที่มาจากทางเชียงใหม่ เราแวะทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านข้าวขาหมูเชียงดาว เป็นร้านเก่าแก่ใน อ.เชียงดาว
จากนั้นก็พากันเดินทางต่อไปยัง ดอยหลวงเชียงดาว โดยใช้เส้นทางเดียวกับทางไป ถ้ำเชียงดาว เมื่อไปยังจุดตรวจ ของกรมอุทยานฯ ซึ่งเป็นทางขึ้นไปยังดอยหลวง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า เมื่อวานฝนตกหนัก มีต้นไม้ล้มกลางถนนบนดอย ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังตัดไม้เพื่อเคลียร์ทางให้ ใช้เวลาอีกประมาณ 1.30-2 ชั่วโมง ให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวยังจุดอื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาขึ้นดอยหลวง
ดังนั้นพวกเราก็เปลี่ยนแผน กลับออกไปเที่ยวยัง ถ้ำเชียงดาว ก่อนเพื่อรอเวลาขึ้นไปบนดอยหลวง
เที่ยวถ้ำเชียงดาว ไหว้พระ ขอพรในการเดินทางกันจนได้เวลาที่เจ้าหน้าที่แจ้งไว้ ก็พากันเดินทางไปยังจุดตรวจ ของกรมอุทยานฯ อีกครั้ง เจ้าหน้าที่ให้นำรถขึ้นไปได้ จากจุดตรวจตรงนี้ ถนนมีแต่ขึ้นๆ และก็ขึ้น ขึ้นๆๆๆๆ อย่างเดียวเลย และทุกโค้งจะต้องบีบแตรด้วย เพื่อให้รถที่สวนทางลงมาจะได้ระมัดระวังในการขับด้วย ทางแคบ โค้ง และชัน จึงต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ดีนะที่ฝนไม่ตก ไม่งั้นถนนคนจะลื่นน่าดู โชคดีสุดๆ ที่ไม่มีฝน ตลอดทางธรรมชาติยังคงอยู่มากมาย ร่มรื่นด้วยแมกไม้ นานาพันธุ์ ดูวิวตลอดสองข้างทาง ทำให้รู้สึกชุ่มปอด กระชุ่มกระชวย ขึ้นมาทันที
ใครขับรถก็ขับไป ลุ้นทางกันไป ใครนั่งถือกล้องก็ทำหน้าที่เก็บภาพไป ได้ภาพตลอดเส้นทางการเดินทางพอสมควร สนุกไปอีกแบบ ทันได้ถ่ายภาพที่ต้นไม้ล้มกลางถนน ที่เจ้าหน้าที่เพิ่งจะตัดและเคลียร์ทางให้
ระยะทางจากจุดตรวจ กรมอุทยานฯ ถึงที่พัก ประมาณ 17-18 กิโลเมตร ถึงที่บ้านพักที่เราได้จองไว้ ชื่อ “บ้านลีซูโฮมสเตย์” เป็นที่พักสร้างเสร็จใหม่ไม่นานด้วย สภาพที่พัก ที่นอน หมอน มุ้ง ห้องน้ำ จึงอยู่ในสภาพที่ดีมาก (เพจของบ้านลีซูโฮมสเตย์ ชื่อ BaanLisuHomeStay) เบอร์โทรก็ตามภาพเลยจ้า สำหรับ บ้านลีซูโฮมสเตย์ จะคิดค่าใช้จ่าย 500 บาทต่อ 1 คน มีอาหาร 2 มื้อ คือ มื้อเย็นและเช้า พร้อมที่พัก 1 คืน นี่แหละที่เขาเรียกว่า จ่ายหลักร้อย วิวหลักล้านของจริง และบนดอยสัญญาณโทรศัพท์อาจจะมีปัญหา มีบ้างไม่มีบ้าง ต้องเดินทางจุดสัญญาณกันนิดหนึ่ง ถึงที่หมายแล้วต่างก็หอบหิ้วสัมภาระ เสบียงของพวกเราลงไปยังที่พัก และเราโชคดี (อีกละ) ได้ที่พักด้านล่างสุด ทำให้ได้วิวเต็มๆ กันเลยทีเดียว
ร้านค้าของชำเล็กๆ กระทัดรัด อยู่ใกล้ๆ กับที่เราไปพัก โซนนี้จะมีที่พักหลายที่เหมือนกัน ต้นๆ ทาง จะมีระเบียงดาว (ชื่อดังมานาน) และก็มีที่อื่นๆ ตามมากันอีกหลายแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็อยู่ใกล้ๆ กัน
จ่ายหลักร้อย วิวหลักล้าน ของจริง เขาเรียกแบบนี้ว่า ฟิน ใช่ป่ะ อิอิ Amazing Thailand ที่นี่ประเทศไทย
ที่พัก “บ้านลีซูโฮมสเตย์”
มื้อเย็นมาแล้ว เป็นการทานมื้อเย็นที่อร่อยที่สุดอีกมื้อหนึ่ง ด้วยวิวแบบนี้ อากาศเย็นๆ ใกล้ธรรมชาติมากมาย เติมข้าวไป 2 จาน ฮาๆ
พระจันทร์ โผล่มาสวัสดี อยู่ใต้แสงจันทร์จนดึก ไม่ยอมหลับ ไม่ยอมนอนกัน ปกติเวลาไปเที่ยวแบบนี้จะไม่ค่อยนอนกัน จะนั่งคุยกัน นั่งๆ นอนๆ ดูวิว ดูท้องฟ้า กันแบบดื่มด่ำให้เต็มอิ่มสุดๆ เรื่องนอนไว้ทีหลัง เพราะนานๆ จะได้มา และคืนนี้เรานอนดูทางช้างเผือก นอนดูดาว ใต้แสงจันทร์กันตรงระเบียง จนดึก
เช้ามืด แสงพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทักทายเรา สวยมาก สายหมอกที่เห็นตอนกลางคืน ก็ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม
พระอาทิตย์อยู่ท่ามกลางก้อนเฆษ สวยไปอีกแบบ
สายหมอกยังมีให้เราได้ดูตลอด
เช้าตรู่มา บ้านพักนำโอวัลติและกาแฟ พร้อมน้ำร้อนมาเสริฟ ให้ก่อนเลย นั่งจิบกาแฟเบาๆ ชมวิวสวยๆ รออาหารมื้อเช้า
มื้อเช้า “ข้าวต้มหมู” ร้อนๆ อากาศเย็นๆ ช่างเข้ากันซะจริงๆ เลย
นั่งชมวิว จนอิ่มหนำ สำราญใจ ก็เตรียมตัวลงดอย เพื่อกลับถิ่นฐาน สูดพลังเต็มปอด เต็มหัวใจ เพื่อสร้างพลังให้มีความเข้มแข็งเพื่อต่อสู้และใช้ชีวิตกันต่อไป เจอกันใหม่ทริปหน้า ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ไปที่ไหน และเมื่อไหร่ ฮาๆ
ภาพบางภาพกล้องถ่ายภาพอาจจะบันทึกได้ไม่เท่ากับ การใช้สายตา บันทึกภาพไว้ในความทรงจำ