นั่งรถเมลล์เที่ยวอำเภอเชียงแสน
วันนี้ตั้งใจจะไปเที่ยวอำเภอเชียงแสน ด้วยวิธี นั่งรถเมลล์ และเช่ามอเตอร์ไซต์ขี่รอบอำเภอเมืองเชียงแสน เพราะไม่ได้นั่งรถเมลล์นานมากๆ จึงอยากจะย้อนหาอดีตนิดหนึ่ง ผจญภัยอีกครั้งแบบสบายๆ ในวันฟ้าใส พร้อมอากาศที่ร้อนอบอ้าว ถึงแม้อากาศจะร้อนแค่ไหน ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางของเรา เริ่มออกเดินทางตอน 9.00 น. ยืนรอขึ้นรถเมลล์จนถึง 09.40 น. (ขึ้นจากอำเภอแม่จัน) รอรถเมลล์ที่ออกมาจากตัวอำเภอเมือง รถเมลล์ที่วิ่งเชียงราย-เชียงแสน ความถี่ในการเดินรถจะค่อนข้างทิ้งระยะห่าง กว่าสายแม่สาย อาจจะเพราะปริมาณคนใช้บริการมากน้อยต่างกัน ซึ่งปัจจุบันการเดินทางไปยังอำเภอเชียงแสน กรณีไม่ได้ใช้รถส่วนตัว เราก็สามารถเลือกใช้บริการรถสาธารณะได้ ได้แก่ รถเมลล์เขียว, รถตู้คาดสติกเกอร์สีเขียว, รถสองแถวสีเขียว หรือรถแทกซี่
รถมาแล้ว! หน้าตารถเมลล์เขียวเส้นทางเชียงราย-เชียงแสน
ขึ้นรถไปมีที่นั่งให้เลือกพอควร ก็เลือกเอาตามใจฉัน แล้วคนเก็บเงิน (กระเป๋ารถเมลล์) ถามปลายทาง ก็ตอบไปว่า เชียงแสน ป้ายสุดท้ายที่จะจอด ค่าเดินทางแม่จัน-เชียงแสน 28 บาท (หากนั่งจากสถานีขนส่งในอำเภอเมืองเลยค่าเดินทางจะประมาณ 40-45 บาท) รถวิ่งไปลมพัดเย็นสบาย
วิวข้างทางถนนเส้นเชียงแสน ยังมีธรรมชาติคงเหลืออยู่มาก จะเห็นทุ่งนาเขียวขจี สลับกับหมู่บ้านต่างๆ
ระหว่างนั่งรถก็ได้คุยกับพี่กระเป๋ารถเมลล์ สอบถามเรื่องเช่ารถมอเตอร์ไซต์ตรงไหน และมีที่ไหนแนะนำ (แบบว่าทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวสุดๆ) พี่เขาก็อัธยาศัยดีมาก คุยไปยิ้มไป จังหวะเราลุกเดินถ่ายรูปบนรถเมลล์ พี่กระเป๋ารถเมลล์พอเห็นเรายกกล้องส่องไปตรงที่พี่เขานั่ง พี่เขาส่งยิ้มหวานเชียวแหละ
ซักพักก็ถึงป้ายสุดท้าย ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 40 นาที (แม่จัน-เชียงแสน หากนั่งจากตัวเมืองเชียงราย-เชียงแสน น่าจะใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง) รถเมลล์จอดตรงหน้าตลาด พี่เขาบอกว่ารถเมลล์เที่ยวสุดท้ายกลับเข้าเชียงรายจะมี 5 โมงเย็น ให้มาขึ้นตรงหน้าตลาดนี่แหละ จะมีรถจอดรออยู่ แล้วเราก็เดินย้อนกลับไปเพื่อไปร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ตามที่พี่เขาแนะนำ เดินย้อนกลับไปไม่ไกล ร้านเช่าอยู่ตรงข้ามธนาคารกรุงเทพ สาขาเชียงแสน เป็นร้านตัดผมด้วย และด้านหน้าจะมีป้ายบอกว่าให้เช่ารถ ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 200 บาท ต้องวางเงินมัดจำไว้ 3,000 บาท และบัตรประชาชน หรือใบขับขี่ ซึ่งเราได้วางใบขับขี่รถยนต์ไว้ให้แทน เพราะว่า บัตรประชาชน จะใช้เพื่อทำเอกสารยื่นทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวข้ามไปยังฝั่งลาว ส่วนใบขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ก็เอาไว้กันตำรวจ เพราะเราเช่ามอเตอร์ไซต์ขี่ไง ฮาๆ เตรียมแว๊นซ์ละ
แผนการคร่าวๆ ในทริปนี้คือ
- ไปตรงสามเหลี่ยมทองคำ เพื่อข้ามไปเที่ยวคาสิโนที่อยู่ฝั่งประเทศลาว ไม่ได้ข้ามไปเล่นการพนันเพราะเล่นไม่เป็นและไม่คิดจะเล่น แต่ที่อยากจะข้ามไปเพราะว่าอยากไปถ่ายรูป มีจุดถ่ายรูปสายๆ หลายจุด
- ขี่มอเตอร์ไซต์เที่ยวรอบในตัวอำเภอ
- ต้องคืนรถก่อน 5 โมงเย็น เพราะรถเมลล์เที่ยวสุดท้ายมี 5 โมงเย็น
แผนการแรกก่อนจะไปสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งหากจากตัวอำเภอไปประมาณ 10 กิโลเมตร เราแวะที่ที่ว่าการอำเภอเชียงแสนเพื่อทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว ซึ่งอยู่ด้านหลังของที่ว่าการเภอ ใช้เอกสารแค่บัตรประชาชน และเสียค่าธรรมเนียม 30 บาท ค่าถ่ายเอกสาร 1 ใบๆ ละ 2 บาท (หากจะไปทำบัตรตรงด่านพรมแดนสบรวก ไทย-ลาว ที่สามเหลี่ยมทองคำก็ได้มีบริการทำอยู่ติดกับด่าน แต่เห็นแว้บๆ ว่าเสียค่าธรรมเนียม 50 บาท)
ได้เอกสารเรียบร้อย เราก็แว๊นซ์มุ่งหน้าไปยังสามเหลี่ยมทองคำ ระหว่างทางก็ชมวิว ถ่ายภาพบ้างไปเรื่อยๆ เราไปแบบไม่เร่งไม่รีบ ไปเรื่อยๆ
พอไปถึงด่านพรมแดนสบรวก ไทย-ลาว ก็ยื่นเอกสาร สอบถามเจ้าหน้าที่เรื่องเรือที่จะข้ามไปยังฝั่งลาว เพื่อจะไปคาสิโน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะมีเรือของทางคาสิโนมารับ บริการฟรี เมื่อไปถึงฝั่งลาว ก็จะมีรถบริการพาไปส่งถึงคาสิโน และกลับเข้ามาฝั่งไทย
ต้องไม่เกิน 2 ทุ่ม (ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ชีวิตนี้ไม่เคยไปคาสิโน ไปให้เห็นกับตาซักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน!! มาถึงขนาดนี้ละ)
จุดรอขึ้นเรือ ซักพักมีเรือเข้ามาเทียบ เป็นเรือเร็ว จุคนได้พอควร พนักงานเป็นคนจีน พูดจีนจ๊ะ สภาพเรือทำใจเต้นอีกละ ฮาๆ
ถึงฝั่งลาวแล้ว ลงเรือ ตรงท่าเรือฝั่งลาวมีเรือทรงเก๋ๆ ให้ได้ถ่ายรูปด้วยแหละ
เดินขึ้นฝั่ง จะต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อยื่นเอกสารขอเข้าประเทศลาว เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท (20 และ 30 บาท จ่าย 2 รอบ)
มีเจ้าหน้าที่ของทางคาสิโนอยู่รอ พูดไทยไม่ค่อยชัด พาเราไปขึ้นรถตู้ เพื่อพาไปยังคาสิโน ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ ลืมดูเวลา มัวแต่ตื่นเต้น แน่ๆ รถขับพวงมาลัยซ้ายละ รถพาเราไปจอดหน้าคาสิโนเลย อลังการงานสร้าง เดินเข้าไปจะมีที่สแกน และมีพนักงานตรวจกระเป๋า สิ่งที่ห้ามนำเข้าไปในคาสิโน เท่าที่จำได้ จะมี Notebook/Laptop, กล้องถ่ายภาพ ของต้องห้ามนี้ต้องเอาฝากที่จุดรับฝากด้านหน้าไว้ พนักงานพูดไทยไม่ได้ พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ เขาพูดภาษาจีน เขาเป็นคนจีน เริ่มหูชาเล็กน้อย พร้อมสื่อภาษาด้วยสายตา และมือแทน ฮาๆ
เข้าไปข้างในบันทึกภาพด้วยสายตา และความจำ ห้องโถงใหญ่ มีโต๊ะเต็มไปหมด มีคนเล่นเยอะเลย มีตู้สล็อตเป็นจุดๆ ไปยืนดูเขาเล่นที่ตู้สล็อค ดูก็ไม่เข้าใจ ก็เลยเดินออกมาข้างนอก ไม่อยากอยู่ในนั้นนาน เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปเล่น เราตั้งใจจะไปถ่ายรูปสวยๆ ก็เดินออกจากตึกมา เดินรอบๆ เดินไปเดินมา ระหว่างเดินใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวก็กลัว แบบแปลกที่แปลกทาง ผู้คนแปลกหน้า และเป็นสถานที่ๆ ไม่ควรจะไปสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบเล่นการพนัน เดินๆ ไปเจอสถานที่เหมือนเมืองจีนมากๆ เดินเข้าไป เมืองจีนชัดๆ สวยมาก น่าจะเป็นที่พัก พอถ่ายรูปไปได้นิดหนึ่งมีเจ้าหน้าที่วิ่งมาส่งสัญญาณว่า ห้ามถ่ายนะ พร้อมชี้ทางออกให้เราว่า เราต้องออกไปทางนั้น รีบเดินออกเลยจ้า กลัวจ้า
พอโผล่ไปทางออก โอ้โห! นี่ฉันมาเที่ยวเมืองจีนใช่ไหม เป็น China Town in LAOS เขาสร้างเป็นห้องๆ บ้านเราก็เรียกห้องแถวละนะ เปิดร้านขายของ แต่เห็นเปิดไม่กี่ร้าน
ยืนถ่ายรูปแถวนั้นนิดหน่อย หาทางเดินกลับไปยังตัวอาคารคาสิโน เพื่อจะนั่งรถกลับ แบบว่าพอละ ไม่อยู่นานละ จะกลับละ หนูกลัว ฮาๆ เดินย้อนกลับไปรอจุดเดิมที่รถมาส่ง คราวนี้ได้นั่งแบบรถ Taxi พาไปส่งยังด่าน เมื่อยื่นเอกสารเสร็จ ลงไปท่าเรือ ก็มีเรือของคาสิโนพาไปส่งยังฝั่งไทย ไม่ต้องเสียเงินซักบาท บริการฟรี
เดินขึ้นฝั่งไทย ตอนลงไม่รู้สึก รู้สึกตอนขึ้นว่า “สูงจังเลย” พร้อมหอบแฮ่กๆ นิดหนึ่ง ฮาๆ
เที่ยงกว่าแล้ว อากาศก็ร้อนจัด เมนูอาหารที่คิดขึ้นมาแว้บเลยคือ “ส้มตำ” อยากกินส้มตำ ไก่ย่าง ก็เจอร้านสมใจอยาก ตรงสามเหลี่ยมทองคำมีร้านอาหารติดแม่น้ำโขงเรียงรายกันแบบเลือกไม่ถูก วิธีเลือกเข้าร้านก็คือ ดูว่าคนที่เรียกเรา คนที่ยืนอยู่ในร้าน เป็นคนต่างชาติประเทศใกล้เคียง หรือว่าคนท้องถิ่น เราเดินผ่านมาหลายร้าน ไม่ยอมเข้าเพราะที่เราเห็นคือ คนต่างชาติประเทศใกล้เคียง เดินมาจนเจอร้านคนไทย คนเมือง คนท้องถิ่น เลี้ยวเข้าไปเลยจ๊ะ ดีใจที่เจอ เพราะหิวมาก สั่งอาหารแบบกระหน่ำเลยเชียวแหละ
สำหรับการข้ามไปเที่ยวยังฝั่งคาสิโน ก็มีเพียงเท่านี้ “นั่งรถเมลล์เที่ยวเชียงแสน” ยังมีต่อ เป็นบทความภาคต่อ นะจ้า